สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติหรือยูเอ็นเอชซีอาร์ประเมินว่า มีผู้เสียชีวิตประมาณ 300 คนในทะเลในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ อันเป็นผลมาจากความหิวโหย ภาวะขาดน้ำ และถูกลูกเรือใช้กำลังทำร้ายและในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมกว่า 120,000 คนที่ขึ้นเรือหลบหนีไปยังประเทศอื่นๆ
ก่อนหน้านี้คริส เลวา ซึ่งทำงานร่วมกับชนกลุ่มน้อยชาวโรฮิงญา เปิดเผยว่า
ผู้โดยสารบนเรือพากันร้องไห้ ขณะโทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือ เพราะไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เพราะเรือลอยลำอยู่ในทะเลอย่างไร้ทิศทางคริส เลวา บอกอีกว่า ผู้อพยพได้บอกว่า เรือที่โดยสารมา เป็นเรือไทย ลูกเรือและกัปตันเป็นคนไทย พวกตนลอยลำอยู่ในทะเลมานาน 2 เดือนแล้ว แต่ไม่กี่วันก่อน กับตันและลูกเรือได้พากันทิ้งเรือ ทำให้ผู้อพยพต้องบังคับเรือกันเอง กระทั่งเครื่องยนต์ขัดข้อง และไม่รู้ตำแหน่งของเรือลำนี้ แต่คิดว่าอาจจะอยู่ใกล้กับเกาะลังกาวีของประเทศมาเลเซีย โดยมองเห็นแผ่นดิน และเห็นเรือหลายลำ จึงได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีเรือลำใดเข้าไปใก
ล่าสุดมีชาวโรฮิงญาได้รับความช่วยเหลือไปแล้วประมาณ 1,600 คนและคาดว่ายังคงลอยเรืออยู่ในทะเลอีกประมาณ 6,000 คน โดยเรือผู้อพยพชาวโรฮิงญาบางลำสูญหายไปในทะเล ทำให้ทางการมาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย ต้องร่วมมือในปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยส่วนทางการอินโดนีเซียยังคงดูแลผู้อพยพอย่างต่อเนื่องและให้ผู้อพยพพักตามศูนย์กีฬาต่างๆ ในจังหวัดนอร์ท อาเจะห์ สำหรับกลุ่มผู้อพยพที่เพิ่มขึ้นจากบังกลาเทศ และเมียนมาได้เดินทางด้วยเรือมายังมาเลเซียและอินโดนีเซีย ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานับตั้งแต่ทางการไทยประกาศกวาดล้างแก๊งค้ามนุษย์
ได้ผลักดันเรือผู้อพยพที่มีจำนวนหลายร้อยคนที่เชื่อว่ามาจากเมียนมาร์และบังคลาเทศออกไป โดยกองทัพเรืออินโดนีเซีย ได้จัดหาเรือ พร้อมทั้งอาหารและน้ำดื่มให้บรรดาผู้อพยพก่อน ที่ส่งกลับออกทะเลไป และให้เหตุผลที่ต้องทำเช่นนั้น ก็เพราะผู้อพยพต้องการไปมาเลเซีย แต่หน่วยงานนานาชาติที่ดูแลด้านผู้อพยพ บอกว่า รู้สึกช็อคต่อการตัดสินใจของอินโดนีเซีย
ภาพการรอคอยความช่วยเหลือก่อนได้รับอาหารและน้ำ
ภาพการรอคอยความช่วยเหลือก่อนได้รับอาหารและน้ำ
ที่มา http://www.thaihiggs.com/?p=13749